วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2558

คำศัพท์บทที่ 14 องค์กรและการจัดการไร้พรมแดนของเทคโนโลยีสารสนเทศ (Enterprise and Global Management of Information Technology)

คำศัพท์บทที่ 14 องค์กรและการจัดการไร้พรมแดนของเทคโนโลยีสารสนเทศ (Enterprise and Global Management of Information Technology)

1.Data                  ข้อมูล
2.International     ระหว่างประเทศ
3.Dimension        มิติ
4.Management     การจัดการ
5.Important         ความสำคัญ
6.Customer         ลูกค้า
7.Knowledge      ความรู้
8.Unknow           ความไม่รู้
9.Effectively      ประสิทธิภาพ
10.Efficiently     ประสิทธิผล


บทที่ 14 องค์กรและการจัดการไร้พรมแดนของเทคโนโลยีสารสนเทศ (Enterprise and Global Management of Information Technology) เรื่อง มิติระหว่างประเทศ (The International Dimension)

2. มิติระหว่างประเทศ (The International Dimension)

       ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่เดิมนั้นเป็นไปในลักษณะของ "พระราชไมตรี” ระหว่างกษัตริย์กับกษัตริย์ กิจกรรมต่างๆ ก็ล้วนดำเนินไปเพื่อสนองตอบต่อรูปแบบของความสัมพันธ์ดังกล่าว และบ่อยครั้งที่สงครามหรือความขัดแย้งระหว่างประเทศ มีสาเหตุจากเหตุผลส่วนพระองค์หรือการรักษาพระเกียรติยศของกษัตริย์ แต่

       ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา การวิวัฒน์ของการปกครอง การเมือง เศรษฐกิจและสังคม ทำให้ลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศดั้งเดิมได้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปสู่ความสัมพันธ์ยุคใหม่ที่ไม่ได้ยึดถือความสัมพันธ์ส่วนบุคคลของประมุขประเทศเป็นเกณฑ์ หากมีความหลากหลายทางมิติมากขึ้น และเห็นได้อย่างชัดเจนหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
 หากเปรียบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นเช่นการปลูกต้นไม้ใหญ่สักต้นหนึ่ง จะเห็นได้ว่าความสัมพันธ์แบบพระราชไมตรีนั้นเป็นเสมือนเสาหลักต้นใหญ่เพียงต้นเดียวที่ค้ำต้นไม้อยู่ หากเสาคลอนก็อาจทำให้ต้นไม้ล้มลงได้ แต่ความสัมพันธ์แบบหลากมิตินั้นเหมือนเสาต้นย่อมๆ หลายต้นที่ร่วมกันค้ำยันต้นไม้ไว้ ถึงเสาบางต้นอาจจะโยกคลอน แต่ก็ยังมีต้นอื่นๆ คอยพยุงต้นไม้เอาไว้
 แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในปัจจุบันจะอยู่บนพื้นฐานของความสัมพันธ์ทางการทูต แต่ความสำคัญนั้นอาจจะผูกพันกับความสัมพันธ์ในด้านต่างๆ เช่นความสัมพันธ์ด้านการค้า ความสัมพันธ์ด้านการลงทุน ความสัมพันธ์ทางวิชาการ ความสัมพันธ์ด้านความมั่นคง ความสัมพันธ์ด้านการศึกษา และความสัมพันธ์ด้านกีฬาและวัฒนธรรม เป็นต้น ซึ่งความไม่ลงรอยกันในความสัมพันธ์ด้านใดด้านหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นความไม่ลงรอยกันความสัมพันธ์ด้านอื่นหรือทุกๆ ด้านไปด้วย
 จีนเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการดำเนินความสัมพันธ์แบบหลากมิติ ในยุคสงครามเย็น แม้จีนจะถูกปิดล้อมจากโลกตะวันตก แต่จีนก็พยายามแหวกวงล้อมด้วยการสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าและวัฒนธรรม รวมทั้งการใช้กีฬาเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์กับโลกภายนอก จนเป็นที่มาของคำว่า “การทูตปิงปอง” หรือขณะที่รัฐบาลจีนแสดงท่าทีแข็งกร้าวกับไต้หวันมาโดยตลอด แต่อีกทางหนึ่งก็เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนของทั้งสองจีนพัฒนาความสัมพันธ์ต่อกัน และเมื่อประชาคมโลกเริ่มให้การรับรองสถานภาพของจีนจนสามารถมีที่นั่งในสหประชาชาติแทนที่ไต้หวันได้นั้น แม้ในทางนิตินัยประเทศที่เปิดความสัมพันธ์กับจีนจะต้องตัดความสัมพันธ์กับไต้หวัน แต่ทางพฤตินัยจีนก็ยินยอมให้ประเทศต่างๆ เหล่านั้นยังคงมีความสัมพันธ์กับไต้หวัน ในด้านการค้าและวัฒนธรรมได้ต่อไป
 โดยเฉพาะในกรณีสงครามชายแดนระหว่างจีนกับอินเดีย ในปี ค.ศ.1962 จีนได้ใช้นโยบายทางการทูตควบคู่ไปกับการรบ และคลี่คลายปัญหาด้วยกลยุทธ์แสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง โดยเจรจาแก้ไขปัญหาในเรื่องที่สามารถตกลงกันได้ และเก็บเรื่องที่ยังตกลงกันไม่ได้เอาไว้ก่อน ซึ่งแม้เวลาจะล่วงเลยจากเหตุการณ์ครั้งนั้นมาเกือบ 50 ปีแล้ว และจีนกับอินเดียยังมีพื้นที่ซ้ำซ้อนกันในรัฐอรุณาจัลประเทศ เป็นพื้นที่กว่า 9 หมื่น ตร.กม. ก็ตาม
 ประเทศไทยของเราเองก็มีความสัมพันธ์ในหลากหลายมิติกับประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ การค้า วิชาการ ความมั่นคง วัฒนธรรม ฯลฯ ซึ่งน่าจะผลักดันและส่งเสริมให้ความสัมพันธ์ในมิติเหล่านั้นมีบทบาทที่เข้มแข็งขึ้น เพื่อเป็นเสาที่ช่วยค้ำยันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้มั่นคงต่อไป

บทที่ 14 องค์กรและการจัดการไร้พรมแดนของเทคโนโลยีสารสนเทศ (Enterprise and Global Management of Information Technology) เรื่อง ธุรกิจและเทคโนโลยีสารสนเทศ (Business and IT)

1. ธุรกิจและเทคโนโลยีสารสนเทศ (Business and IT)
       ผู้บริหารต้องคำนึงถึงความสอดคล้องระหว่างการดำเนินธุรกิจ เทคโนโลยี และการตัดสินใจที่ต้องกระทำอย่างสอดคล้องกัน ปัจจุบันผู้บริหารต้องประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศและ การตัดสินใจทางธุรกิจขององค์การอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดวิสัยทัศน์และสร้างโอกาสในการประยุกต์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ องค์การ ผู้บริหารต้องสามารถจัดการกับเทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถแบ่งเป็นขั้นตอนดังต่อไปนี้

1.  กำหนดกลยุทธ์องค์การที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีสารสนเทศ
2.  กำหนดแผนงานสารสนเทศระดับองค์การและการดำเนินงาน กำหนดโครงสร้างหน่วยงานสารสนเทศ
3. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสารสนเทศขององค์การ (information system infrastructure) เช่น อุปกรณ์ ชุดคำสั่ง ระบบสื่อสารและจัดการข้อมูล ระบบสำนักงานอัตโนมัติ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำหนดศักยภาพ และความยืดหยุ่นในการปรับตัวของงานสารสนเทศในองค์การ
4.  กำหนดรายละเอียดการดำเนินงานภายในองค์การ พร้อมทั้งพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้มีความพร้อมต่อการประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศ ให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดแก่องค์การ

ระบบสารสนเทศทางธุรกิจ
                ระบบสารสนเทศทางธุรกิจ (business information systems) เป็นระบบสารสนเทศที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อสนับสนุนให้การดำเนินงานของธุรกิจให้ ดำเนินการอย่างเป็นระบบ โดยถูกออกแบบและพัฒนาให้ปฏิบัติงานตามหน้าที่ทางธุรกิจ ตลอดจนช่วยส่งเสริมให้ทั้งองค์การ สามารถประสานงานและใช้ข้อมูลร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพทั้งในระดับปฏิบัติ งานและระดับบริหาร โดยเราสามารถจำแนกระบบสารสนเทศตามหน้าที่ทางธุรกิจตามหน้าที่ดังต่อไปนี้
1.  ระบบสารสนเทศด้านการบัญชี (accounting information system)
2.  ระบบสารสนเทศด้านการเงิน (financial information system)
3.  ระบบสารสนเทศด้านการตลาด (marketing information system)
4.  ระบบสารสนเทศด้านการผลิตและการดำเนินงาน (production and operations information system)
5.  ระบบสารสนเทศด้านทรัพยากรบุคคล (human resource information system)

ระบบสารสนเทศด้านการบัญชี

                        ปัจจุบันงานของนักบัญชีมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมอย่างมาก เนื่องจากเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยทำให้มีการพัฒนาชุดคำสั่งสำเร็จรูป หรือชุดคำสั่ง เฉพาะสำหรับช่วยในการเก็บรวบรวมและประมวลผลข้อมูล ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาและเพิ่มความถูกต้องใน การทำงานแก่ผู้ใช้ ทำให้นักบัญชีมีเวลาในการปฏิบัติงานเชิงบริหารมากขึ้น เช่น การออกแบบและพัฒนาระบบงาน พัฒนาระบบงบประมาณและระบบข้อมูลสำหรับผู้บริหาร เป็นต้น โดยที่ระบบสารสนเทศด้านการบัญชี (accounting information systems) หรือที่เรียกว่า AIS จะเป็นระบบที่รวบรวม จัดระบบ และนำเสนอสารสนเทศทางการบัญชีที่ช่วยในการตัดสินใจแก่ผู้ใช้สารสนเทศทั้งภาย ในและภายนอกองค์การ โดยระบบสารสนเทศทางการบัญชีจะให้ความสำคัญกับสารสนเทศที่สามารถวัดได้ หรือ การประมวลผล เชิงปริมาณมากกว่าการแก้ปัญหาเชิงคุณภาพ โดยระบบสารสนเทศด้านการบัญชีจะมีส่วนประกอบหลัก 2 ส่วนคือ

                1.  ระบบบัญชีการเงิน (financial accounting system) บัญชีการเงินเป็นการบันทึกรายการคำที่เกิดขึ้นในรูปตัวเงิน จัดหมวดหมู่รายการต่าง ๆ สรุปผลและตีความหมายในงบการเงิน ได้แก่ งบกำไรขาดทุน งบดุล และงบกระแสเงินสด โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ นำเสนอสารสนเทศแก่ผู้ใช้และผู้ที่สนใจข้อมูลทางการเงินขององค์การ เช่น นักลงทุนและเจ้าหนี้ นอกจากนี้ยังจัดเตรียมสารสนเทศในการตัดสินใจของผู้บริหาร ซึ่งนักบัญชีสามารถนำเทคโนโลยีสารสนเทศใช้ในการประมวลข้อมูล โดยจดบันทึกลงในสื่อต่าง ๆ เช่น เทปหรือจานแม่เหล็ก เพื่อรอเวลาสำหรับทำการประมวลและแสดงผลข้อมูลตามต้องการ

                2.  ระบบบัญชีบริหาร (managerial accounting system) บัญชีบริหารเป็นการนำเสนอข้อมูลทางการเงินแก่ผู้บริหาร เพื่อใช้ในการตัดสินใจทางธุรกิจ ระบบบัญชีจะประกอบด้วย บัญชีต้นทุน การงบประมาณ และการศึกษาระบบ โดยมีลักษณะสำคัญคือ
*    ให้ความสำคัญกับการจัดการสารสนเทศทางการบัญชีแก่ผู้ใช้ภายในองค์การ
*    ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานในอนาคตของธุรกิจ
*    ไม่ต้องจัดทำสารสนเทศตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป
*    มีข้อมูลทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่เป็นตัวเงิน
*    มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับให้สอดคล้องกับความต้องการใช้งาน

       AIS จะให้ความสำคัญกับการรวบรวมข้อมูลและการติดต่อสื่อสารทางการเงิน ซึ่งเป็นกระบวนการติดต่อสื่อสารมากกว่าการวัดมูลค่า โดยที่ AIS จะแสดงภาพรวม จัดเก็บ จัดโครงสร้าง ประมวลข้อมูล ควบคุมความปลอดภัย และการรายงานสารสนเทศทางการบัญชี ปัจจุบันการดำเนินงานและการไหลเวียนของข้อมูลทางการบัญชีมีความซับซ้อนมาก ขึ้น ทำให้นักบัญชีต้องกำหนดคุณสมบัติของสารสนเทศด้านการบัญชีให้สัมพันธ์กับการ ดำเนินงานขององค์การ ประการสำคัญ AIS และระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการจะมีทั้งส่วนที่แยกออกจากกันและเกี่ยวเนื่อง สัมพันธ์กัน แต่ MIS  จะให้ความสำคัญกับการจัดการสารสนเทศสำหรับการตัดสินใจของผู้บริหาร ขณะที่ AIS จะประมวลสารสนเทศเฉพาะสำหรับผู้ใช้งานทั้งภายในและภายนอกองค์การ เช่น นักลงทุน เจ้าหนี้ และผู้บริหาร เป็นต้น

 ระบบสารสนเทศด้านการเงิน
ระบบการเงิน (financial system) เปรียบเสมือนระบบหมุนเวียนโลหิตของร่างกายที่สูบฉีดโลหิตไปยังอวัยวะต่าง ๆ เพื่อให้การทำงานของอวัยวะแต่ละส่วนเป็นปกติ ถ้าระบบหมุนเวียนโลหิตไม่ดี การทำงานของอวัยวะก็บกพร่อง ซึ่งจะส่งผลกระทบโดย ตรงต่อระบบร่างกาย ระบบการเงินจะเกี่ยวกับสภาพคล่อง (liquidity) ในการดำเนินงาน เกี่ยวข้องกับการจัดการเงินสดหมุนเวียน ถ้าธุรกิจขาดเงินทุน อาจก่อให้เกิดปัญหาขึ้นทั้งโดยตรงและทางอ้อม โดยที่การจัดการทางการเงินจะมีหน้าที่สำคัญ 3 ประการ ดังต่อไปนี้
                1.  การพยากรณ์ (forecast) การศึกษา วิเคราะห์ การคาดกราณ์ การกำหนดทางเลือก และการวางแผนทางด้านการเงินของธุรกิจ เพื่อใช้ทรัพยากรทางการเงินให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยนักการเงินสามารถใช้หลักการทางสถิติและแบบจำลองทาง คณิตศาสตร์มาประยุกต์ การพยากรณ์ทางการเงิน จะอาศัยข้อมูลจากทั้งภายในและภายนอกองค์การ ตลอดจนประสบกราณ์ของผู้บริหารในการตัดสินใจ
                2.  การจัดการด้านการเงิน (financial management) เกี่ยวข้องกับเรื่องการบริหารเงินให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น รายรับและรายจ่าย การหาแหล่งเงินทุนจากภายนอก เพื่อที่จะเพิ่มทุนขององค์การ โดยวิธีการทางการเงิน เช่น การกู้ยืม  การออกหุ้นหรือตราสารทางการเงินอื่น เป็นต้น
                3.  การควบคุมทางการเงิน (financial control) เพื่อติดตามผล ตรวจสอบ และประเมินตวามเหมาะสมในการดำเนินงานว่าเป็นไปตามแผนที่กำหนดหรือไม่ ตลอดจนวางแนวทางแก้ไขหรือปรับปรุงให้การดำเนินงานทางการเงินของธุรกิจมี ประสิทธิภาพ โดยที่การตรวจสอบและการควบคุมการทางการเงินของธุรกิจสามารถจำแนกออกเป็น 2 ประเภทดังต่อไปนี้
*    การควบคุมภายใน (internal control)    
*    การควบคุมภายนอก (external control)
ระบบสารสนเทศด้านการเงิน (finalncial information system)
เป็นระบบสารสนเทศที่พัฒนาขึ้น สำหรับสนับสนุนกิจกรรมทางด้านการเงินขององค์การ ตั้งแต่การวางแผน การดำเนินงาน และการควบคุมทางด้านการเงิน เพื่อให้การจัดการทางการเงินเกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยที่แหล่งข้อมูลสำคัญในการบริหารเงินขององค์การมีดังต่อไปนี้
                1.  ข้อมูลจากการดำเนินงาน (operatins data) เป็นข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติงานของธุรกิจ ซึ่งเป็นประโยชน์ในการควบคุม ตรวจสอบ และปรับปรุงแผนการเงินขององค์การ
                2.  ข้อมูลจากการพยากรณ์ (forecasting data) เป็นข้อมูลที่ได้จากการรวบรวมและประมวลผล เช่น การประมาณค่าใช้จ่ายและยอดขายที่ได้รับจากแผนการตลาด โดยใช้เทคนิคและแบบจำลองการพยากรณ์ โดยที่ข้อมูลจากการพยากรณ์ถูกใช้ประกอบการวางแผน การศึกษาความเป็นไปได้ และการตัดสินใจลงทุน
                3.  กลยุทธ์องค์การ (corporate strategy) เป็นเครื่องกำหนดและแสดงวิสัยทัศน์ ภารกิจ วัตถุประสงค์ แนวทางการประกอบธุรกิจในอนาคต เพื่อให้องค์การบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ โดยที่กลยุทธ์จะเป็นแผนหลักที่แผนปฏิบัติการอื่น ต้องถูกจัดให้สอดคล้องและส่งเสิรมความสำเร็จของกลยุทธ์
                4.  ข้อมูลจากภายนอก (external data) ข้อมูลทางเศรษฐกิจและการเงิน สังคม การเมือง และปัจจัยแวดล้อมที่มีผลต่อธุรกิจ เช่น อัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เป็นต้น โดยข้อมูลจากภายนอกจะแสดงแนวโน้มในอนาคตที่ธุรกิจต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับ สถานกราณ์

       ระบบสารสนเทศด้านการบัญชีและระบบสารสนเทศด้านการเงินจะมีความสัมพันธ์กัน เนื่องจากข้อมูลทางการบัญชีจะเป็นข้อมูลสำหรับการประมวลผลและการตัดสินใจทาง การเงิน โดยนักการเงินจะนำตัวเลจทางการบัญชีมาประมวลผลตามที่ตนต้องการ เพื่อให้ได้ข้อมูลสำหรับสนับสนุนการตัดสินใจทางการเงิน

คำศัพท์บทที่ 13 ความปลอดภัย และความท้าทายด้านจริยธรรม (Security Ethical Challenges)

คำศัพท์บทที่ 13 ความปลอดภัย และความท้าทายด้านจริยธรรม (Security Ethical Challenges)

1.Introduction            การแนะนำ
2.Computer                คอมพิวเตอร์
3.Crime                      อาชญากรรม
4.Security                   ความปลอดภัย
5.Measures                 การวัด
6.Audits                     ตรวจสอบ
7.Society                    สังคม
8.Challenge                ท้าทาย
9.Tube                        หลอด
10.Guidelines             แนวทาง


บทที่ 13 ความปลอดภัย และความท้าทายด้านจริยธรรม (Security Ethical Challenges) เรื่อง เรื่องความเป็นส่วนตัว (Privacy Issues)

2. เรื่องความเป็นส่วนตัว (Privacy Issues)
       สิทธิในความเป็นส่วนตัว เป็นหลักขั้นพื้นฐานของกฎหมายไทย อันจะเห็นได้จากการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550ซึ่งได้รับการยอมรับจากนานาอารยประเทศ จึงถือได้ว่า สิทธิในความเป็นส่วนตัวนี้ ถือได้ว่าสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ปัจจุบันมีการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวในส่วนของการใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ IT ย่อจาก information technology และการสื่อสารเป็นอย่างมากทั่วทุกมุมโลก โดยเน้นหนักไปใบส่วนของข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตและการสื่อสารแบบไร้สาย การละเมิดสิทธิเหล่านี้นับวันจะยิ่งมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา

บทที่ 13 ความปลอดภัย และความท้าทายด้านจริยธรรม (Security Ethical Challenges) เรื่อง อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ (Computer Crime)

1. อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ (Computer Crime)
อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ประเภทต่างๆ

อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ (Cyber-Crime) เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายโดยใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อโจมตีระบบคอมพิวเตอร์และข้อมูลที่อยู่บนระบบดังกล่าว ส่วนในมุมมองที่กว้างขึ้น “อาชญากรรมที่เกี่ยวเนื่องกับคอมพิวเตอร์” หมายถึงการกระทำที่ผิดกฎหมายใดๆ ซึ่งอาศัยหรือมีความเกี่ยวเนื่องกับระบบคอมพิวเตอร์หรือเครือข่าย อย่างไรก็ตาม อาชญากรรมประเภทนี้ไม่ถือเป็นอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์โดยตรง

ในการประชุมสหประชาชาติครั้งที่ 10 ว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิด (The Tenth United Nations Congress on the Prevention of Crime and the Treatment of Offenders) ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเวียนนา เมื่อวันที่ 10-17 เมษายน 2543 ได้มีการจำแนกประเภทของอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ โดยแบ่งเป็น 5 ประเภท คือ การเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต, การสร้างความเสียหายแก่ข้อมูลหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์, การก่อกวนการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์หรือเครือข่าย, การยับยั้งข้อมูลที่ส่งถึง/จากและภายในระบบหรือเครือข่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต และการจารกรรมข้อมูลบนคอมพิวเตอร์

โครงการอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์และการโจรกรรมทรัพย์สินทางปัญญา (Cyber-Crime and Intellectual Property Theft) พยายามที่จะเก็บรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูล และค้นคว้าเกี่ยวกับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ 6 ประเภท ที่ได้รับความนิยม ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนและผู้บริโภค นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับขอบเขตและความซับซ้อนของปัญหา รวมถึงนโยบายปัจจุบันและความพยายามในการปัญหานี้

อาชญากรรม 6 ประเภทดังกล่าวได้แก่
  1. การเงิน – อาชญากรรมที่ขัดขวางความสามารถขององค์กรธุรกิจในการทำธุรกรรม อี-คอมเมิร์ซ(หรือพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์)
     
  2. การละเมิดลิขสิทธิ์ – การคัดลอกผลงานที่มีลิขสิทธิ์ ในปัจจุบันคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและอินเทอร์เน็ตถูกใช้เป็นสื่อในการก่ออาชญากรรม แบบเก่า โดยการโจรกรรมทางออนไลน์หมายรวมถึง การละเมิดลิขสิทธิ์ ใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อจำหน่ายหรือเผยแพร่ผลงานสร้างสรรค์ที่ได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์
     
  3. การเจาะระบบ – การให้ได้มาซึ่งสิทธิในการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์หรือเครือข่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต และในบางกรณีอาจหมายถึงการใช้สิทธิการเข้าถึงนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้การเจาะระบบยังอาจรองรับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ในรูปแบบอื่นๆ (เช่น การปลอมแปลง การก่อการร้าย ฯลฯ)
     
  4. การก่อการร้ายทางคอมพิวเตอร์ – ผลสืบเนื่องจากการเจาะระบบ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความหวาดกลัว เช่นเดียวกับการก่อการร้ายทั่วไป โดยการกระทำที่เข้าข่าย การก่อการร้ายทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-terrorism) จะเกี่ยวข้องกับการเจาระบบคอมพิวเตอร์เพื่อก่อเหตุรุนแรงต่อบุคคลหรือทรัพย์สิน หรืออย่างน้อยก็มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความหวาดกลัว
     
  5. ภาพอนาจารทางออนไลน์ – ตามข้อกำหนด 18 USC 2252 และ 18 USC 2252A การประมวลผลหรือการเผยแพร่ภาพอนาจารเด็กถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และตามข้อกำหนด 47 USC 223 การเผยแพร่ภาพลามกอนาจารในรูปแบบใดๆ แก่เยาวชนถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมาย อินเทอร์เน็ตเป็นเพียงช่องทางใหม่สำหรับอาชญากรรม แบบเก่า อย่างไรก็ดี ประเด็นเรื่องวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการควบคุมช่องทางการสื่อสารที่ครอบคลุมทั่วโลกและเข้าถึงทุกกลุ่มอายุนี้ได้ก่อให้เกิดการถกเถียงและการโต้แย้งอย่างกว้างขวาง
     
  6. ภายในโรงเรียน – ถึงแม้ว่าอินเทอร์เน็ตจะเป็นแหล่งทรัพยากรสำหรับการศึกษาและสันทนาการ แต่เยาวชนจำเป็นต้องได้รับทราบเกี่ยวกับวิธีการใช้งานเครื่องมืออันทรงพลังนี้อย่างปลอดภัยและมีความรับผิดชอบ โดยเป้าหมายหลักของโครงการนี้คือ เพื่อกระตุ้นให้เด็กได้เรียนรู้เกี่ยวกับข้อกำหนดทางกฎหมาย สิทธิของตนเอง และวิธีที่เหมาะสมในการป้องกันการใช้อินเทอร์เน็ตในทางที่ผิด     

คำศัพท์บทที่ 12 การพัฒนาธุรกิจ/วิธีแก้ปัญหาเทคโนโลยีสารสนเทศ (Developing Business/IT Solutions)

คำศัพท์บทที่ 12 การพัฒนาธุรกิจ/วิธีแก้ปัญหาเทคโนโลยีสารสนเทศ (Developing Business/IT Solutions)

1.System            ระบบ
2.Approach        วิธีการ
3.Feedback        ข้อเสนอแนะ
4.Control           การควบคุม
5.Thinking         ความคิด
6.Design            การออกแบบ
7.Investigation   ตรวจสอบ
8.Maintenance   ซ่อมบำรุง
9.Development  การพัฒนา
10.Cycle            วัฏจักร